ไฟตัดหมอกมีความสำคัญอย่างไร และแยกออกเป็นกี่ประเภท

ไฟตัดหมอกมีความสำคัญอย่างไร และแยกออกเป็นกี่ประเภท

ไฟตัดหมอกมีความสำคัญอย่างไร และแยกออกเป็นกี่ประเภท
ไฟตัดหมอก คือ อะไร
ไฟตัดหมอก คือ ไฟที่ถูกติดตั้งให้อยู่ในระดับต่ำกว่าไฟหน้ารถ เพื่อทำหน้าที่ในการส่องสว่างในระนาบเดียวกันกับพื้นถนน โดยสามารถส่งได้ไหลสุดถึง 30-80 เมตร ซึ่งความเข้มแสงที่ถูกปล่อยออกมาจากไฟตัดหมอก จะสามารถส่องทะลุผ่านหมอกหนา หรือช่วงที่ฝนตกหนักได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้สามารถใช้งานในประเทศไทยในหลายภูมิภาคได้อย่างเกิดประโยชน์ แน่นอนว่าไฟตัวนี้ในรถยนต์ส่วนใหญ่มักผ่านมาตรฐานมาดีอยู่แล้ว แต่ผู้คนทั่วไปอาจไม่ได้เปิดใช้งานอย่างเหมาะสม จึงอาจดูเหมือนไม่ค่อยมีประโยชน์มากเท่าไหร่นัก
ไฟตัดหมอกมีกี่ประเภท
Fog Lamps
คือ ไฟตัดหมอกประเภทที่เน้นความสว่างของตัวแสงให้กระจายออกด้านข้าง เสริมให้การมองเห็นไหล่ทางด้านข้างถนนมีความชัดเจนมากขึ้น มีการหักเหแสงค่อนข้างมาก ทำให้แสงพุ่งออกไปไม่ไกลจากตัวไฟ มักถูกเลือกติดตั้งในรถยนต์ที่ใช้ความเร็วต่ำ
Driving Lamps
 คือ ไฟตัดหมอกประเภทที่เพิ่มเติมระยะการส่องสว่างไกลมากขึ้นกว่าเดิม แต่จะไม่ได้เน้นเรื่องความกว้างของช่วงแสงเหมือนกับ Fog Lamps ทำให้สามารถใช้งานได้ในหลายสถานการณ์ จึงมีความเหมาะสมรถยนต์ที่เดินทางกลางคืนบ่อย รวมถึงการใช้งานข้ามจังหวัดก็ใช้งานได้ดีทีเดียว
Pencil Beam Lamps
คือ ไฟตัดหมอกประเภทที่เน้นระยะแสงให้พุ่งไปด้านหน้าได้ไกลมากที่สุด เพื่อให้สามารถมองเห็นทัศนวิสัยได้ไกลมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ รถยนต์ทั่วไปไม่เหมาะกับการใช้งานไฟประเภทนี้ ส่วนมากมักเลือกติดตั้งให้กับรถยนต์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อการแข่งขันแบบครอสคันทรี เนื่องจากต้องเจอทางวิบาก และภูมิประเทศที่ไม่ราบเรียบเหมือนถนนทั่วไป
โดยปกติแล้วรถยนต์ส่วนใหญ่มีการติดตั้งไฟตัดหมอกไว้อยู่แล้ว ซึ่งส่วนมากจะเป็นแบบ Fog Lamps หรือไม่ก็ Driving Lamps ที่เหมาะกับการใช้งานแบบทั่วไป ฉะนั้นตอนนี้ทุกคนทราบประสิทธิภาพของตัวไฟตัดหมอกกันเรียบร้อยแล้ว หากอยู่ในช่วงเวลาที่ต้องการแสงไฟส่องทางให้ชัดเจนมากขึ้น อย่าลืมนึกถึงการใช้งานไฟส่วนนี้เผื่อเอาไว้ด้วย จะได้ขับขี่อย่างปลอดภัยมากขึ้น
ความสำคัญของไฟตัดหมอก
ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า ไฟตัดหมอก มีหน้าที่ช่วยให้เราสามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัย ในช่วงเวลาที่มองเห็นถนนได้ไม่ชัดเจน เพราะสภาพอากาศบดบังทัศนวิสัย โดยเฉพาะช่วงเวลาที่หมอกลงหนาจัด, ฝนตกหนักจนหน้าฉากเป็นสีขาวโพลน รวมถึงเวลาที่เราขับรถข้ามจังหวัดและเจอควันไฟขนาดมหึมาที่จับกลุ่มหนา จนทำให้เรามองเห็นถนนได้ไม่ชัดเจน เวลานี้เองที่ไฟตัดหมอกจะถูกเลือกใช้งาน ให้เราสามารถมองเห็นถนนข้างหน้าได้ชัดเจน เนื่องจากมีแสงไฟสว่างคอยส่องผ่านสิ่งที่เข้ามาบดบังในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งไฟตัวนี้จะถูกติดตั้งแยกออกจากไฟหน้าดวงหลัก เพื่อให้รถยนต์คันอื่น ๆ สามารถสังเกตและแยกแยะด้วยสายตาได้ง่าย ช่วยป้องกันความสับสน จึงลดอุบัติเหตุได้ด้วย
สถานการณ์ไหนที่ควรเปิดใช้ไฟตัดหมอก
สถานการณ์ไหนที่ควรเปิดใช้งานไฟตัดหมอก ช่วงที่เราต้องขับรถยนต์ขึ้นภูเขาสูง, ขับรถในช่วงกลางคืนที่ฝนตกหนัก, ขับรถช่วงกลางคืนหลังฝนตก และช่วงเวลาที่เจอหมอกควันเข้ามาบดบังทัศนวิสัย ซึ่งนอกเหนือจากสถานการณ์ที่กล่าวมาทั้งหมดแล้ว ไม่ควรเปิดใช้งานไฟตัดหมอกตามไฟปกติ เพราะอาจทำให้ไฟที่มีความเข้มแสงมากนี้ส่องไปยังรถยนต์คันอื่นบนท้องถนน และกลายเป็นการรบกวนการขับขี่ที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุ หรืออันตรายขึ้นมาได้ ทั้งยังเสียงต่อการกระทำที่ผิดกฎหมายด้วยเช่นกัน ดังนั้นมาดูรายละเอียดเพิ่มเติมในสถานการณ์ที่ควรใช้งานกันสักหน่อยดีกว่า
•    ใช้งานช่วงที่เราต้องขับรถยนต์ขั้นภูเขาสูง เพราะอาจทำให้เราได้เจอเมฆหมอกมากกว่าปกติ โดยเฉพาะในฤดูหนาว และช่วงเวลากลางคืนที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าในตอนกลางวัน
•    ใช้งานเมื่อขับรถช่วงกลางคืนฝนตกหนัก เนื่องจากเม็ดฝนหนา ๆ อาจทำให้ฉากหน้าของเรากลายเป็นสีขาวโพลนจนมองไม่เห็นถนน หากมีความจำเป็นต้องเดินทางต่อ ไฟตัดหมอกจะพอช่วยให้เราเห็นถนนได้มากขึ้น (แต่ในกรณีที่ฝนตกหนักจนมองไม่เห็นถนน ควรจอดรถรอให้ฝนเบาลงค่อยเดินทางต่อจะปลอดภัยกว่า)
•    ใช้งานเมื่อขับรถกลางคืนหลังฝนตก เพราะน้ำขังบนท้องถนนอาจทำให้เรามองเห็นถนนไม่ค่อยชัด การเปิดไฟตัดหมอกจะช่วยให้เราเห็นพื้นถนนได้ชัดเจนมากขึ้นนั่นเอง
•    ใช้งานในช่วงเวลาที่เจอกลุ่มหมอกควันเข้ามารบกวน บางเวลาที่เดินทางไปต่างพื้นที่ อาจเจอควันไฟขนาดใหญ่เข้าปกคลุมพื้นที่ถนน จนทำให้การมองเห็นไม่ดีดังเดิม ก็สามารถเปิดไฟตัดหมอกช่วยได้
ทีนี้คุณก็จะสามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัย พร้อมเดินทางไปในทุกหนแห่ง เพราะถ้าเจอสถานการณ์ที่เรายกตัวอย่างไปด้านบน คุณสามารถเปิดไฟตัดหมอก เพื่อช่วยเพิ่มการมองเห็นได้ทันที แต่ทั้งนี้อย่าลืมลดระดับความเร็วในการขับขี่ลงด้วย จะได้เดินทางปลอดภัยจนถึงจุดหมาย
ข้อมูลจาก asiadirect.co.th