6 วิธีขับรถตอนฝนตกให้ปลอดภัย
การขับรถในช่วงฝนตกนั้นนับว่าอันตรายทั้งกับตัวรถและผู้ขับขี่ วันนี้เราจึงีเทคนิคการขับรถหากเกิดฝนตกน้ำท่วมมาฝากกัน
1. ไม่ใช้ความเร็วมากจนเกินไป
สิ่งที่ควรทำเป็นอันดับแรกเลยคือ การประคองความเร็วให้พอดี ไม่ขับรถเร็วเกินไป โดยควรขับอยู่ที่ 60 ก.ม./ช.ม.-ไม่เกิน 80 ก.ม./ช.ม. เพราะเวลาฝนตกถนนจะลื่นกว่าปกติ การขับรถให้ช้าลงจะช่วยให้เราสามารถควบคุมรถได้ง่ายอีกทั้งเมื่อฝนตกใหม่ๆ ถนนมักจะลื่นจากฝุ่นผงและสิ่งต่างๆที่อยู่บนผิวถนน จนบางครั้งเราสังเกตเห็นฝองบนถนน ก็นับเป็นสัญญาณเตือนที่ยิ่งต้องระวังให้มากขึ้น
2. เปิดไฟส่องสว่างให้ครบ
เมื่อฝนตก เป็นที่ทราบกันดีว่าทัศนวิสัยในการมองเห็นจะลดลง เนื่องจากอยู่ในสภาพที่แสงน้อย รวมไปถึงกระจกก็อาจมีฝ้า หรือ เม็ดฝนบังทัศนวิสัยในการมอง การเปิดไฟส่องสว่างจะช่วยให้เราขับรถตอนฝนตกได้สะดวกยิ่งขึ้น และช่วยให้เพื่อนร่วมทางคันอื่นสังเกตเห็นรถของเราได้ชัด แต่ไม่ควรใช้ไฟสูงหรือไฟตัดหมอก เพราะจะเป็นการรบกวนทัศนวิสัยในการมองเห็นของรถคันอื่นได้
3. ไม่ควรเปิดไฟฉุกเฉินขณะขับรถ
การเปิดไฟฉุกเฉินขณะขับรถตอนฝนตก ถือเป็นข้อต้องห้ามเพราะ อาจทำให้ผู้ร่วมทางคันอื่นเข้าใจผิดได้ คิดว่ารถของเรากำลังจอดเสียอยู่ อาจทำให้รถคันข้างหลังมีการเบรกกะทันหัน หรือหักหลบ ซึ่งอาจทำให้เพื่อนร่วมทางเกิดอุบัติเหตุได้
หากกรณีรถมีปัญหาจริงๆให้เบี่ยงหลบชิดข้างทางแล้วจึงทำการเปิดไฟฉุกเฉิน
หรือเปิดในกรณีมีสิ่งกีดขวางการจราจร เช่นมีอุบัติเหตุข้างหน้า หรือ มีสิ่งของกีดขวาง เพื่อเตือนรถที่ขับตามหลังสัก 2-3 กระพริบ ก็เพียงพอต่อการเตือน
4. การเบรคและเว้นระยะห่างจากคันหน้า
การขับรถตอนฝนตกหรือต้องขับรถลุยน้ำ ประสิทธิภาพของผ้าเบรกจะลดลง จึงควร เพิ่มระยะเบรคและเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าให้มากกว่าปกติ และ ห้ามเบรคแบบทีเดียวให้รถหยุด เพราะจะทำให้รถเกิดสะบัดได้ แต่ให้ใช้การเบรคเลี้ยง และเบรคย้ำๆเพื่อให้ผ้าเบรครีดน้ำออกจากระบบได้
5.ยางและลมยางต้องพร้อมอยู่เสมอ
หากเราจำเป็นต้องขับรถตอนฝนตก ควรเติมลมยางให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งสามารถดูได้จาก "สติ๊กเกอร์ขอบข้างประตู" จะช่วยให้รถถ่ายน้ำหนักได้อย่างเหมาะสมและขับได้ปลอดภัยยิ่งขึ้น นอกจากนี้การรีดน้ำของยางรถก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการเลือกใช้ยางที่เหมาะ กับ การรีดน้ำ
6. ปิดแอร์เมื่อจำเป็นต้องลุยน้ำ
ขณะฝนตกแล้วมีน้ำท่วมขัง หากจำเป็นต้องขับรถลุยน้ำ สิ่งที่ควรทำคือ ปิดการใช้งานเครื่องปรับอากาศ หรือระบบไฟฟ้าต่าง ๆ ภายในรถ เพื่อป้องกันระดับน้ำที่อาจกระจายเข้าห้องเครื่อง หรือทำให้ระบบระบายความร้อนในเครื่องยนต์เกิดความเสียหายได้ และ ยังช่วยให้ใบพัดหม้อน้ำปลอดภัยจากสิ่งมองไม่เห็นที่ลอยมากับน้ำอีกด้วย