การขับรถในช่วงที่ร่างกายอ่อนเพลีย หรือ พักผ่อนไม่เต็มที่
อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้ วันนี้เรามาดูสาเหตุและเทคนิคแก้ง่วงกัน
สัญญาณเตือนว่าเรากำลังจะ “หลับใน”
1. หาวต่อเนื่องบ่อย ๆ
2. กระพริบตาถี่ ๆ ลืมตาไม่ขึ้น
3. มองข้ามสัญญาณไฟ และป้ายจราจร
4. ใจลอยไม่มีสมาธิขณะขับรถ
5. ขับรถส่ายไปมา หรือออกนอกเส้นทาง
6. อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า กระวนกระวาย
7. เมื่ออยู่นิ่ง ๆ ติดไฟแดง หรือรถติด อาจเผลอหลับไม่รู้ตัว
8. จำไม่ได้ว่าขับรถผ่านอะไรมาในช่วง 2-3 กิโลเมตรที่ผ่านมา
ง่วงไม่ขับ! วิธีแก้ง่วงขณะขับรถ ทำยังไงได้บ้าง ?
1. นอนหลับให้เพียงพอ
วิธีแก้ง่วงขณะขับรถ ที่ดีที่สุด คือ การนอนหลับให้เพียงพอ ก่อนกำหนดวันเดินทาง อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง จะช่วยให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า สมองทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และมีสมาธิในการขับรถมากยิ่งขึ้น และควรปรับตารางนอนในชีวิตประจำวันให้ลงตัว เพื่อให้ร่างกายสามารถพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ ติดต่อกัน 3 – 4 วันต่อสัปดาห์ เพื่อป้องกันอาการง่วงเรื้อรัง
รู้หรือไม่!? ในผู้ที่มีปัญหาเรื่องนอนไม่หลับ หรือหลับไม่สนิท มีการศึกษาพบว่า คนขับรถที่นอนน้อยกว่า 5 ชั่วโมงต่อวัน จะมีโอกาสประสบอุบัติเหตุมากกว่าคนที่ได้นอนเต็มอิ่มถึง 5 เท่าเลยทีเดียว
2. งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือยาที่มีผลข้างเคียงก่อนออกเดินทาง
ทั้งก่อนขับรถ และขณะเดินทาง ห้ามเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดเด็ดขาด! เพราะนอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว ปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายแม้แค่นิดเดียว ก็มีผลทำให้ความสามารถในการขับขี่ลดลง และอาจนำไปสู่การหลับในเฉียบพลันได้
นอกจากนี้ คุณควรงดกินยาที่ออกฤทธิ์ทำให้ง่วงซึมด้วย เช่น ยาแก้แพ้ลดน้ำมูก, ยาแก้แพ้ แก้คัน, ยากล่อมประสาท, ยาคลายกังวล, ยาแก้เวียนศีรษะ และยาแก้เมารถ เป็นต้น หากเป็นยารักษาโรคที่ต้องกินเป็นประจำ ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อขอปรับยาเป็นตัวที่ไม่มีผลข้างเคียงที่ทำให้ง่วงแทน
ยาแก้แพ้ มีกี่ชนิด และควรเลือกอย่างไรดี?
3. กินแก้ง่วง
วิธีแก้ง่วงตอนขับรถ สุดฮิต ไม่ว่าจะเป็นชา กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง หรือผลไม้เปรี้ยว ๆ เลือกกันได้ตามความชื่นชอบ มีติดรถไว้กินระหว่างทาง รับรองว่าช่วยให้ตาสว่างขึ้นได้แน่ เรามีทริกมาแนะนำเพิ่มเติมว่า ควรงดดื่มกาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง หรือเครื่องดื่มที่ผสมคาเฟอีนใด ๆ ก่อนเดินทางอย่างน้อย 2-3 วัน เพราะอาจส่งผลให้นอนหลับไม่สนิท และทำให้คุณง่วงในตอนที่ต้องขับรถได้
นอกจากนี้ น้ำเปล่าเย็น ๆ ก็ช่วยได้เหมือนกันนะ เพราะน้ำเปล่าจะช่วยให้ระดับออกซิเจนในเลือดเพิ่มขึ้น ทำให้ร่างกายของเรารู้สึกตื่นตัวได้ทันที และเป็นการเพิ่มความสดชื่นให้ร่างกายด้วย
4. ของเย็นช่วยได้
การขับรถทางไกลยาว ๆ ทำให้คุณง่วงจากความเหนื่อยล้า ที่ต้องโฟกัสกับเส้นทางเดิม ๆ ในอิริยาบถเดิม ๆ ควรแวะปั๊มข้างทาง เพื่อเข้าห้องน้ำ ล้างมือล้างหน้า ลูบศีรษะ และท้ายทอยให้รู้สึกเย็น ความเย็น และความสดชื่นจากน้ำ จะช่วยให้รู้สึกกะปรี้กะเปร่าขึ้นได้ หรือจะใช้วิธีดมยาดม พิมเสนสูตรเย็นเมนทอล หรือพกผ้าเย็นไว้เช็ดตามใบหน้า ท้ายทอย แขน และข้อพับ ให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นระหว่างทางก็ช่วยได้เหมือนกัน
5. ทำกิจกรรมระหว่างขับรถ
การมีเพื่อนร่วมเดินทาง ชวนพูดคุย หรือชวนเล่นเกมเฮฮาเสียงดัง เป็นอีกวิธีที่ช่วยปลุกให้คุณตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาได้ แถมยังมีคนช่วยจับตาดูการขับขี่ของคุณ และคอยเตือนเมื่อคุณแสดงอาการอ่อนเพลีย หรือสลับกันขับ แบ่งเวลาพักผ่อนได้อีกด้วย
ถ้าต้องขับรถคนเดียว แนะนำให้เปิดเพลงดัง ๆ เพลงแด๊นซ์ ๆ สักหน่อย แต่อย่าให้กลบเสียงรอบข้างจนเกินไป และพกน้ำชา กาแฟ ไว้ในรถบ้าง แต่ถ้ารู้สึกไม่ไหวจริง ๆ แนะนำให้พักงีบข้างทาง อย่าลืมล็อครถเพื่อป้องกันผู้ประสงค์ร้าย และเปิดกระจกไว้เพียงนิดหน่อยเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ด้วย
6. ยืดเส้นยืดสายคลายง่วง
การนั่งท่าเดียว ท่าเดิมนาน ๆ ระหว่างขับรถ ย่อมทำให้รู้สึกทั้งเมื่อย ทั้งเหนื่อยล้า อย่าลืมแวะจอดรถพัก เพื่อผ่อนคลายอิริยาบถเป็นระยะ ๆ ในปั๊มน้ำมัน หรือจอดรถในที่ปลอดภัย แล้วลงมาเดินเล่นยืดเส้นยืดสาย ทำท่ากายบริหารเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น คลายความเมื่อยล้าจากการนั่งท่าเดิมเป็นระยะเวลานาน ๆ หรือจะใช้วิธีการนวดไปทั่วบริเวณใบหน้า เพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนของเลือด และช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้นได้
7. หลีกเลี่ยงการขับขี่ในช่วงเที่ยงคืนถึงเจ็ดโมงเช้า
เนื่องจากช่วง 24.00-07.00 น. เป็นช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่ มักจะคุ้นเคยกับการนอนหลับ จึงทำให้ร่างกายเกิดความเคยชิน และอาจเกิดอาการง่วงซึมหรือหลับในระหว่างขับขี่ได้
8. ไม่ไหวก็พักก่อน
ถ้าง่วงหนักแบบไม่ไหวแล้ว ฝืนไม่ได้จริง ๆ ควรจอดรถนอนแบบจริงจังไปเลยสัก 25-30 นาที เพื่อให้ร่างกายรู้สึกว่าได้นอนพอสมควร เป็น Power Nap ที่สามารถทดแทนการนอนได้ราว 2 ชั่วโมงต่อครั้ง แต่ก่อนจะหลับไป ควรจอดรถในที่ ๆ คุณมั่นใจในความปลอดภัยด้วย เช่น ปั้มน้ำมันที่มีคนค่อนข้างเยอะ ไม่ควรจอดริมถนน หรือสถานที่ที่เปลี่ยวร้าง