รถเก่าแล้วควรเช็คอะไรบ้าง

รถเก่าแล้วควรเช็คอะไรบ้าง

06 October 2022

รถเก่าแล้วสิ่งที่ควรตรวจเช็คเป็นพิเศษ

แบตเตอรี่ – โดยปกติแล้วแบตเตอรี่รถยนต์จะมีอายุการใช้งานประมาณ 2-3 ปี หากนานกว่านั้นแบตจะเริ่มเสื่อมสภาพ ซึ่งอาจทำให้ไฟไม่พอ หรือแบตหมดสตาร์ทไม่ติดได้ ดังนั้นควรเช็คอายุแบตเตอรี่ว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนแบตใหม่แล แบตเตอรี่ – โดยปกติแล้วแบตเตอรี่รถยนต์จะมีอายุการใช้งานประมาณ 2-3 ปี หากนานกว่านั้นแบตจะเริ่มเสื่อมสภาพ ซึ่งอาจทำให้ไฟไม่พอ หรือแบตหมดสตาร์ทไม่ติดได้ ดังนั้นควรเช็คอายุแบตเตอรี่ว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนแบตใหม่แล#แบตเตอรี่้วหรือยัง

ผ้าเบรก – รถขับใช้ไปนานๆ ผ้าเบรกจะหมดไปเรื่อยๆ หากปล่อยให้ผ้าเบรกเหลือน้อยหรือผ้าเบรกหมด จะเกิดการเสียดสีและทำให้เบรกร้อน เบรกเป็นรอย และเบรกอาจพังได้ จึงควรต้องเปลี่ยนผ้าเบรกด้วย โดยควรเปลี่ยนผ้าเบรกเมื่อถึงระยะประมาณ 50,000 – 70,000 กม. แต่ถ้าขับอยู่ในเมือง ต้องจอดรถติดตลอดเวลา ควรต้องเปลี่ยนผ้าเบรกเร็วกว่านี้

ไส้กรอง – ไส้กรองต่างๆ ในรถไม่ว่าจะเป็น ไส้กรองอากาศรถยนต์ ไส้กรองน้ำมันเครื่อง ไส้กรองน้ำมันเกียร์ ไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิง ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งสำคัญในการกรองไม่ให้สิ่งแปลกปลอมเข้ามาปะปนภายในส่วนต่างๆ ภายในรถยนต์ ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้ไม่มีการทำความสะอาด ไส้กรองจะตันและไม่สามารถทำหน้าที่กรองได้เต็มประสิทธิภาพ

หลอดไฟต่างๆ – หลอดไฟที่ติดตั้งแต่ละส่วนของรถ ต้องเช็คว่ายังใช้งานได้ดี ไม่ว่าจะเป็น ไฟส่องสว่าง ไฟฉุกเฉิน ไฟเลี้ยว หากไฟติดๆ ดับๆ หรือหลอดไฟขาด ก็อาจทำให้เกิดอันตรายได้

สายพานไทม์มิ่ง เช็คระยะให้ดีว่าถึงเวลาเปลี่ยนสายพานแล้วหรือยัง ระยะเวลาในการเปลี่ยนประมาณ 100,000 กิโลเมตร

หัวเทียน – หากหัวเทียนบอดหรือหัวเทียนใช้งานไม่ได้ ก็ส่งผลต่อการจุดระเบิดของเครื่องยนต์ ซึ่งระยะเวลาในการเปลี่ยนหัวเทียนประมาณ 40,000 กิโลเมตร หรือทุก 1 ปี

ใบปัดน้ำฝน – ควรเปลี่ยนปีละครั้ง ปัดแล้วไม่เป็นรอย และปัดน้ำออกเกลี้ยงหรือไม่ ถ้าใช้งานไม่ดีแล้วก็ควรเปลี่ยน ดีกว่าฝ่าลุยน้ำฝนทั้งๆ ที่ใบปัดน้ำฝนไม่พร้อม เพราะอาจมองไม่เห็นทางและเกิดอันตรายได้

ยางรถยนต์ – ยางรถก็มีระยะเวลาที่ต้องเปลี่ยน หากดอกยางเริ่มหมด ยางก็จะไม่ยึดเกาะถนน ควรเปลี่ยนยางเมื่ออายุ 2 ปี หรือวิ่งไปแล้วประมาณ 50,000 กิโลเมตร หรือถ้าเป็นยางอย่างดีสามารถวิ่งได้ถึง 5-6 ปี ทั้งนี้ต้องดูการใช้งานด้วยว่าเดินทางบ่อยมากน้อยแค่ไหน

เปลี่ยนของเหลวภายในรถยนต์

น้ำมันเครื่อง – ควรเปลี่ยนถ่ายทุกๆ 5,000 – 10,000 กิโลเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของน้ำมันเครื่อง เช่น น้ำมันเครื่องธรรมดาจะมีอายุการใช้งานน้อยกว่าน้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ และกึ่งสังเคราะห์จะมีอายุน้อยกว่าน้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ หากไม่อยากเปลี่ยนบ่อย แนะนำให้ใช้น้ำมันเครื่องสังเคราะห์จะช่วยปกป้องเครื่องยนต์ได้อย่างเต็มที่

น้ำมันเกียร์ – เปลี่ยนน้ำมันเกียร์เพื่อให้มีการหล่อลื่นภายในระบบเกียร์ ไม่ให้เกิดการเสียดสีระหว่างชิ้นส่วนภายในเกียร์ ระยะเวลาในการเปลี่ยนประมาณ 20,000 – 40,000 กิโลเมตร ขึ้นอยู่กับรถยนต์แต่ละรุ่น และอย่าลืมว่าน้ำมันเกียร์ออโต้ และน้ำมันเกียร์ธรรมดา ห้ามใช้แทนกัน ต้องใช้ของใครของมันเท่านั้น

น้ำยาหล่อเย็น – มีส่วนสำคัญในการช่วยระบายความร้อนในรถยนต์ ทำให้รถมีจุดเดือดที่สูงขึ้น เครื่องยนต์ไม่ร้อนเร็ว

น้ำมันเบรก – ขับรถแล้วเบรกไม่ดีมีแต่อันตราย หากเดินทางแล้วต้องเบรกกระทันหัน แต่เบรกใช้งานไม่ได้ขึ้นมา มีหวังได้ชนคันข้างหน้าแน่ๆ เพราะฉะนั้นอย่าละเลยที่จะเปลี่ยนน้ำมันเบรกเด็ดขาด น้ำมันเบรกปกติไม่ได้เปลี่ยนบ่อยๆ มีอายุการใช้งานได้ถึง 80,000 กิโลเมตร หรือ ประมาณ 3 ปี แล้วแต่ว่าอะไรถึงก่อน แต่ถ้าเกิน 3 ปีแล้วควรเปลี่ยนทันที

น้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์ – สำหรับรถรุ่นใหม่ๆ พวงมาลัยจะเป็นพวงมาลัยพาวเวอร์กันหมดแล้ว ซึ่งทำให้การบังคับเลี้ยวรถง่ายขึ้น แต่ถ้าน้ำมันพาวเวอร์เริ่มเสื่อมสภาพ ก็จะทำให้การบังคับเลี้ยวลำบาก พวงมาลัยหนัก มีผลต่อการขับขี่ จึงต้องมีการเปลี่ยนน้ำมันทุก 80,000 กิโลเมตร